โจทย์สำคัญเปิดเทอมใหม่ เด็กปฐมวัย 1 ใน 4 พัฒนาการล่าช้า

โจทย์สำคัญเปิดเทอมใหม่ เด็กปฐมวัย 1 ใน 4 พัฒนาการล่าช้า

เปิดผลสำรวจกรมอนามัยพบ เด็กปฐมวัย 1 ใน 4 พัฒนาการล่าช้า ทั้งด้านภาษาและกล้ามเนื้อมัดเล็ก สติปัญญา

การศึกษา กสศ.ชี้เป็นโจทย์สำคัญเปิดเทอมใหม่ 2/2565 เครือข่ายโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQP) กสศ. นำร่อง โมเดลพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก คาด 6 เดือน กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ภายหลังกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เผยแพร่รายงานฉบับพิเศษ “ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19” ซึ่งพบภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้ เด็กอนุบาล 3 ยุคโควิด-19 ขาดความพร้อมเข้าเรียนประถมต้นในปัจจุบัน โดยสะท้อนจากผลวิจัยสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย (Thailand SchoolReadiness Survey: TSRS) ทั้งด้านทักษะพื้นฐาน ด้านภาษา ด้านคณิตศาสตร์ และ Executive Functions (EFs) ของเด็กระดับอนุบาล 3 จำนวน 73 จังหวัด เปรียบเทียบระหว่างปี 2563 – 2565 สอดคล้องกับข้อค้นพบ จากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ในห้องเรียน 74 โรงเรียน 6 จังหวัดภาคใต้ นักเรียนจำนวน 98% มีแรงบีบมือต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กในวัยเดียวกัน ผ่านเกณฑ์เพียง 1.19% เท่านั้น และมากกว่า 50% จับดินสอผิดวิธี ซึ่งสะท้อนว่ากล้ามเนื้อมือไม่แข็งแรง ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา กสศ. ร่วมกับเครือข่ายโรงเรียนพัฒนาตนเอง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่และสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดเสวนาวิชาการ “ภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้หลังโควิด-19 แนวทางฟื้นฟูรับเปิดเทอมใหม่” นพ.ธีรชัย บุญยะลีพรรณ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอนามัยเด็กแห่งชาติ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์ของเด็กปฐมวัย หรือเด็กที่อยู่ในช่วงอายุต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ ปี 2561 – 2580 ในหัวข้อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมีกรอบความร่วมมือ (MOU) ของแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เป้าหมายคือเด็กที่อยู่ในช่วงอายุ 0 – 5 ปีต้องมีพัฒนาการที่สมวัยอยู่ในระดับร้อยละ 85 ซึ่งที่ผ่านมามีการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงาน 9 กระทรวง จากการใช้คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย วัดแนวโน้มพัฒนาการเด็กปฐมวัยของประเทศไทย พบว่าเด็กไทย 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 มีพัฒนาการไม่สมวัย “พัฒนาการเด็กไม่สมวัยที่พบมากสุดคือพัฒนาการด้านการใช้ภาษา Expressive Language (EL)อยู่ที่ระดับ ร้อยละ 75.2 พัฒนาการด้านการเข้าใจภาษา Receptive Language (RL) ร้อยละ 60.1 และ Fine Motor (พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา) ร้อยละ 47 ซึ่งคาดการณ์ว่าตัวเลขพัฒนาการด้านการใช้มือหรือกล้ามเนื้อมัดเล็กซึ่งเชื่อมโยงกับการเรียนรู้จะยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ ในเด็กปฐมวัยของไทย เพราะจากการทดสอบ มีนิ้วที่แข็งแรงเหลืออยู่เพียงนิ้วเดียวคือนิ้วชี้ที่เด็กใช้ในการเลื่อนหน้าจอสมาร์ทโฟน” นพ.ธีรชัย กล่าวและว่า พัฒนาการด้านภาษาไม่สมวัยในเด็กปฐมวัย เป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญโดยพบว่ามีมากถึง 3 ใน 4 ของเด็กที่กำลังมีปัญหาด้านพัฒนาการทางด้านภาษา

โจทย์สำคัญเปิดเทอมใหม่ เด็กปฐมวัย 1 ใน 4 พัฒนาการล่าช้า

ซึ่งในขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกให้เรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไขในระดับนโยบายโดยได้มีการทำเรื่องเสนอไปยังรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผศ.พรพิมล คีรีรัตน์ โค้ชโครงงานฐานวิจัย (ป.4 – ม.3) โครงการสนับสนุนโรงเรียนพัฒนาตนเอง ข่าวการศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ กล่าวว่า แรงบีบมือของเด็กที่อยู่เกณฑ์ปกติจะอยู่ที่ 19 กิโลกรัม แต่หลังลงสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียน 6 จังหวัดภาคใต้ โดยใช้เครื่องวัดแรงบีบมือทดสอบวัดสมรรถภาพความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็กของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1,918 คน จาก 74 โรงเรียน ใน 6 จังหวัด คือ สตูล ปัตตานี สงขลา นครศรีธรรมราช ยะลา และนราธิวาส พบ 98% ของเด็กๆ แรงบีบมือต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กวัยเดียวกัน ซึ่งค่าปกติจะอยู่ที่ 19 กิโลกรัม หากไม่เร่งพัฒนาอาจจะสูญเสียโอกาสการพัฒนาได้อย่างเต็มที่ หากปล่อยไป จะยิ่งเกิดปัญหาซับซ้อนในช่วงวัยนี้มากขึ้น โดยมีความหวังให้โรงเรียนนำร่อง ขยายผลไปสู่เพื่อนครูด้วยกัน เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาเด็กพัฒนาถดถอยอย่างต่อเนื่องจากการทดสอบมีเด็กผ่านเกณฑ์เพียงร้อยละ 1.19 จึงได้ริเริ่มโครงการ PSU ครูรักศิษย์ ครั้งที่ 7 ‘การพัฒนาฐานกาย’ หนึ่งในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการคือ โรงเรียนวัดมุจลินทวาปีวิหาร (เพชรานุกูลกิจ) อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ดูแลโครงการโดย ครูนก-จรรยารักษ์ สมัตถะ หลังการฟื้นฟูต่อเนื่อง พบค่าแรงบีบมือเด็กมากขึ้น 0.5-2 กิโลกรัมในเวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น ขณะที่ ผศ.อัมพร ศรประสิทธิ์ โค้ชกระบวนการวิทยาศาสตร์ (อนุบาล – ป.3) โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ กล่าวว่า เด็กมีความทุกข์ในห้องเรียนจากกล้ามเนื้อมัดเล็กอ่อนแรง ทำให้ไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ ส่งผลให้เกิดภาวะไม่เชื่อมั่นในตนเอง สุดท้ายทำให้เด็กขาดเรียนมากกว่าครึ่งห้อง “เด็กชั้น ป.1-3 เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ต้องประคับประคอง ฐานกายยังเรียกร้อง ทำให้เด็กอยู่ไม่สุข ไม่รู้จะเอาพลังงานออกมายังไง เมื่อซนก็ครูทำโทษ เทอมที่ผ่านมาเด็กพยายามส่งสัญญาณบอกผู้ใหญ่ แต่ไม่มีใครฟัง เปิดเทอมนี้ เสนอให้ครูใช้กระบวนการเล่นเชิงวิทยาศาสตร์ แบบ active learning สร้างสถานการณ์ ให้สอดคล้อง สาระการเรียนรู้และตัวชี้วัด ทำให้เด็กได้ฝึกสังเกต ฝึกกระบวนการคิด คิดวิธีเล่น รวบรวมข้อมูล ออกแบบกติกา ทดลองใช้ร่างกาย หลังทำกิจกรรม 2 สัปดาห์พบว่า เด็กมีพัฒนาการดีขึ้น”